เมื่อเร็วๆ เมอร์เซเดส-เบนซ์ สานต่อภารกิจในการยกระดับประสบการณ์การขับขี่รถยนต์มอเตอร์สปอร์ต พร้อมย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์สมรรถนะสูง ด้วยการจัดกิจกรรม“เอเอ็มจี เซอร์กิต เอ็กซ์พีเรียนซ์”ชวนคอมอเตอร์สปอร์ตเข้าร่วมการฝึกอบรมขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูงครั้งใหม่ เพื่อเรียนรู้เทคนิคการขับขี่แบบเต็มสมรรถนะ โดยทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมสัมผัสสมรรถนะของรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์เอเอ็มจีครบครันทั้งพอร์ตโฟลิโอรวม 13 รุ่น ที่นำมาให้ทุกคนได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
ซึ่งหลังจากที่เสร็จกิจกรรมแล้ว มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้มีการตั้งโต๊ะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนโดยเปิดให้สื่อมวลชนสอบถามถึงสถานการณ์การการบริหารงานของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัดในเวลาต่อมาโดยมีเนื้อหา และรายละเอียดดังนี้
สื่อมวลชนถาม : ปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) มีนโยบายการลงทุน และจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนๆ อย่างไร?
ตอบ : ขณะนี้เราได้ดำเนินการเกี่ยวกับโครงการ“Charge to Change”ซึ่งเราจะสื่อสารกับลูกค้าทั้งที่ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทุกยี่ห้อเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งผู้ใช้เมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้ใช้รถยนต์แบรนด์อื่นๆ ให้ช่วยกันชาร์จแบตเตอรี่รถของคุณให้มากที่สุด เพราะเรื่องของเรื่อง คือ ปัญหารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมันเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า คล้ายๆ กับปัญหาไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน คือ ในฝั่งที่เป็นผู้ผลิตกับฝั่งที่เป็นลูกค้าก็มองคนละมุมกัน
คือ ถ้าลูกค้าที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเขาจะตั้งคำถามว่า มีที่ชาร์จแบตเตอรี่พอเพียงหรือไม่ ส่วนฝั่งที่เป็นผู้ผลิต หรือ ผู้ลงทุนขายรถยนต์ไฟฟ้าก็เกิดคำถามว่า แล้วผู้ผลิต หรือ ผู้ลงทุนเมื่อนำรถมาจำหน่ายนั้น หากเขาต้องลงทุนแล้วเขาจะคุ้มไหม เพราะฉะนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เปรียบได้กับปัญหาไก่กับไข่ดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตามหากถามว่า แล้วเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เราต้องขอบอกว่า ตอนนี้เรากำลังสื่อสารกับบริษัท รถยนต์ทุกค่ายว่า พวกเราควรมาช่วยกันรณรงค์ให้ลูกค้าของคุณชาร์จรถให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะถามว่ามันจะช่วยอะไร คือ มันจะช่วยโดยตรงเลย คือ ถ้าคุณชาร์จรถบ่อยๆ มันก็จะไปกระตุ้นให้ผู้ที่ทำธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า (ชาร์จจิ้ง สเตชั่น) เริ่มมีช่องทางทำมาหากิน ซึ่งก็จะทำให้เขาพร้อมที่จะลงทุนเพิ่ม คุณลองนึกภาพดูว่า ตอนนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมากกว่า 16,000 คันแล้ว และไปบวกอีกกับอีก 10,000 – 20,000 คันที่ขายในตลาดแล้ว ซึ่งหากเรารณรงค์ให้คนทุกคน และรถทุกยี่ห้อที่มีรถประเภทนี้ให้หันมาใช้รถกันในแบบอีวีโหมดให้มากที่สุด ก็เชื่อว่ามันจะทำให้อากาศที่มีมลพิษในเมือง หรือ ในกรุงเทพมันลดลงได้ ซึ่งก็อย่างที่บอกไปว่าจะสามารถกระตุ้นให้บริษัท ที่ทำชาร์จจิ้ง สเตชั่นมีรายได้
อย่างไรก็ตามถ้า เรามีโอกาสเราก็อยากจะเชิญชวนสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ที จ.สมุทรปราการ ของเรากันบ้าง คือ คุณจะเห็นถึงความแตกต่างที่คุณจะเห็นว่า มันเปลี่ยนแปลงมุมมองที่คุณมีกับการที่คุณเคยเห็นโรงงานที่คุณเคยเห็น ซึ่งมันจะไม่ใช่โรงงานอะไรที่ผลิตแบบใหญ่ๆ ยาวๆ แบบที่คุณเคยเห็นแต่มันจะเป็นโรงงานแบตเตอรี่ที่คุยกันในเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของความไฮเทคในการผลิตซึ่งไม่ได้เป็นโรงงานใหญ่โตมาก แต่เรามาคุยกันเรื่องที่เกี่ยวกับตัวฟังก์ชั่นในเรื่องของแบตเตอรี่ต่างๆ ที่มันจะต้องประกอบการในโรงงานแบตเตอรี่ มันต้องใช้ความละเอียด และเทคโนโลยีสูงในเรื่องของการทดสอบอะไรทั้งหลายแหล่ครับ
เพราะฉะนั้นโครงการ“Charge to Change”จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เราต้องก้าวไป คือ เราจะใช้ปลั๊กอินไฮบริดเป็นจุดเริ่มต้นในก้าวแรกๆ อยากให้ทุกคนชาร์จรถเยอะๆ และถ้าคนชาร์จเยอะแล้วถ้าวันหนึ่งมีสถานีอัดประจุไฟฟ้า (ชาร์จจิ้ง สเตชั่น) ซักประมาณ 2,000 หรือ 3,000 แห่งในกรุงเทพมหานคร ก็แสดงว่า กรุงเทพมหานครพร้อมแล้ว สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอร์รี่(บีอีวี) หรือ เป็นเพียวอีวีคาร์นะครับ ฉะนั้นเราจึงจะต้องใช้จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราต้องปูไปที่ปลั๊กอินไฮบริดก่อน แล้วเราหวังว่าเมื่อพื้นฐานของโครงสร้างครบ และมันก็จะเป็นเวลาที่จะเอาบีอีวีจะเข้ามานะครับ
ผู้สื่อข่าวถาม : แล้วคิดว่าการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบได้เมื่อไร?
ตอบ ก็คือมันคงดูว่า เจตนาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) คือ เดิมก่อนที่เราจะยกเลิกการผลิตรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อีคิวซี (รถพลังงานไฟฟ้าล้วน) ในประเทศไทยไม่ใช่จู่ๆ เราก็ยกเลิก คือ เรามีการคุย เรามีการดีเบตกับฝั่งรัฐบาลแล้วว่า เราจำเป็นต้องระงับการผลิตรถรุ่นนี้ไว้ก่อนเนื่องจาก ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ ต้องเริ่มจากสถานีอัดประจุไฟฟ้า (ชาร์จจิ้ง สเตชั่น) คือ เรามีเหตุได้ว่า เราจะต้องหาผลประโยชน์อะไรให้กับผู้ใช้รถไฟฟ้า เพราะถามว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเงิน แต่ควรเป็นเรื่องของช่องที่เป็นเลนพิเศษ หรือ ช่องจอดรถพิเศษ แต่เราไม่ได้พูดว่าจะต้องได้ภาษีคืนนะครับ เราไม่ได้พูดอย่างนั้นครับ แต่มันต้องอยู่ที่รัฐบาลต้องเอื้อประโยชน์ตรงนี้ด้วยซึ่งเราก็คุยกันอยู่
แต่อย่างไรก็ตามเรายืนยันว่า ยังไงเราไปไฟฟ้าแน่นอน แต่จะมีก็บางช่วงบางตอนที่เราต้องถอยมาก่อน เราอาจจะต้องขอดูสถานการณ์ก่อน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นหรือ คำมั่นสัญญาของทั้งเบนซ์ไทยแลนด์ หรือ เบนซ์ระดับโลก คือ เราจะไปที่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน เราจะไปที่การปล่อยค่าไอเสียที่เป็นศูนย์
ผู้สื่อข่าวถาม : จะทำให้เสียโอกาสทางการตลาด หรือ ไม่ ถ้าเอารถที่ใช้พลังานไฟฟ้าล้วนมาจำหน่ายช้า เพราะค่ายอื่นๆ ก็จะนำรถไฟฟ้าล้วนมาขายกันแล้ว?
ตอบ เราต้องมาดูว่า ถ้าเราจะเอารถไฟฟ้ามาขาย เราสามารถเอารถมาขายได้ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซ็ปต์ อีคิวเอ แล้วล่ะครับ คือ เราเอาเข้ามาได้ 3-5 คันเราก็เอาเข้ามาได้ ซึ่งเมื่อเราเอาเข้ามาขายเราก็จะได้ว่า เราเป็นคนแรกที่เอาเข้ามาแล้ว แต่เราดูไปถึงว่า ในการลงทุนทำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มันต้องเริ่มอย่างไร คือ มันต้องดูว่า มันต้องมีเครือข่ายผู้จำหน่าย ซึ่งก็คือ ผู้จำหน่ายจะขายรถไฟฟ้าล้วนทั้ง 36 รายเลยหรือไม่ หรือเราจะเลือกเฉพาะบางราย คือ แบบที่เราทำกับยนตกรรมสมรรถนะสูงเอเอ็มจีแบบนี้ว่า เราจะเลือกเจ้าไหนที่มาทำ และต้องการดูว่าถ้าทำแล้วเขาคุ้มทุนหรือไม่ เขาได้ประโยชน์จากการทำตรงนั้นหรือไม่ มันเป็นเรื่องมันเป็นเรื่องของขั้นตอน และการอบรบ คือ จะเอารถเข้ามาขายมันง่ายครับ แต่ถามว่าถ้าเราเอาเข้ามาแล้วตลาดไม่ตอบรับแล้วก็จะกลายเป็นว่า สุดท้ายแล้วรถก็จะมา ค้างสต๊อกอยู่ แล้วจะกลายเป็นว่า ตลาดรถอีวีมันก็ไม่เดินไป
เพราะฉะนั้นเราก็ได้มองนะว่า มันเสียโอกาสเมื่อเทียบกับรายแรกที่เอาเข้ามา แต่เรามองไกลกว่านั้นว่า ถ้ามันพลาดจะทำให้ตลาดอีวีมันไม่เดิน แล้วมันจะยิ่งช้าไปอีก ซึ่งตรงนี้เลยบอกว่า ต้องให้มันพร้อมจริงๆ แล้วค่อยๆ ขยับไม่ใช่แค่ 3-5 คันแต่นี้มันเป็นมูลค่าใหญ่
ผู้สื่อข่าวถาม : ปัญหาที่เกิดขึ้นมันจะกระทบกับโรงงานผลิต แบตเตอร์รี่ของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่จังหวัดสมุทรปราการหรือไม่?
ตอบ มันก็มีผลกระทบครับ แต่เราได้ลงทุนกับโรงงานผลิตแบตเตอร์รี่ไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่พวกคุณไม่ได้รู้ คือ ส่วนหนึ่ง คือ แบตเตอรี่ที่โรงงานที่สมุทรปราการเมื่อมีการผลิตก็ได้ถูกส่งกลับไปที่เยอรมัน เพราะความต้องการแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมีสูง เพราะฉะนั้นแบตเตอรี่เราผลิตที่โรงงานที่สมุทรปราการ เราได้ส่งออกแล้วครับ ซึ่งในเรื่องของความคุ้มทุนตรงนี้เราก็พออยู่ได้ แต่ยังไงเราก็ยังคงยืนยันว่าเราจะต้องเดินหน้าไปที่ยนตกรรมไฟฟ้าแน่นอนครับ
ผู้สื่อข่าวถาม : อยากทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของรถมือสอง หรือ ยูสคาร์ ของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ว่า มีผลตอบรับดีหรือไม่ในช่วงประมาณ 1 ปีทีผ่านมา?
ตอบ เรื่องรถยูสคาร์ถือว่า มีผลการดำเนินงานที่ดีมาก เพราะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว คือ ในลักษณะของการที่เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ คนจะหันมามองยูสคาร์ โดยเฉพาะยูสคาร์ของเบนซ์ เพราะรถของเราอาจจะใช้ไป 3 ปี - 5 ปี แต่มันยังอยู่ในกลุ่มรถที่มีคุณภาพ และยังมองหาว่า มันใช้ได้ พอเราได้ทำยูสคาร์ออนไลน์ เราได้รับเสียงตอบรับดีมากจากลูกค้า เพราะมันเป็นการขายตรงให้ลูกค้าเลย แล้วมันตัดเรื่องการต้องมานั่งต่อลองราคากัน คือ ลูกค้าสามารถดูรถแล้วก็จบได้ที่ดีลเลอร์ หรือ ผู้จำหน่าย และในระบบออนไลน์ เช่น ขอดูรถ วางเงินจอง และส่งรถไปให้ดู เป็นต้น ซึ่งตรงนี้กลายเป็นว่าเป็นธุรกิจที่ดีมากครับ
#########