
บริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ไทยแลนด์) จํากัด แจ้งข่าวว่า ตามที่มีปริมาณการจองรถยนต์ EV ในงานมอเตอร์เอ็กช์โป มากกว่า 50% ของยอดจองในงาน สะท้อนให้เห็นความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเห็นได้ชัดว่าความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อีกส่วนหนึ่งอาจมาจากราคารถยนต์ EV ที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคสนใจ เพราะราคารถยนต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐที่ประมาณ 1.5 แสนบาทต่อคันทําให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถทําราคาเข้ามาแข่งขันเบียดราคารถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ได้อย่างตรงเป้าหมาย อีกนัยหนึ่งนั้นรถยนต์ EV ที่มาจากค่ายรถยนต์ในประเทศจีนสามารถทําต้นทุนรถยนต์ที่ราคาขายถูกลงด้วยตัว Product เองทําราคาขายแข่งขันกันในหมู่รถยนต์ EV ด้วยกัน ทําให้เกิดความน่าสนใจในสงครามราคารถยนต์ EV อย่างจริงจัง

ถ้าพิจารณายอดจองรถยนต์ในงานมอเตอร์เอ็กช์โปปี 2568 มียอดจองรวม 75,246 คัน ซึ่งในจํานวนนี้จะเห็นว่าเป็นการจองกลุ่มรถยนต์ EV มากถึงประมาณ 50% และใน 10 อันดับการจองรถยนต์เป็นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าถึง 6 อันดับ ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า นับว่าเป็นความน่าสนใจของการเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่มีนัยต่อตลาดรถยนต์เป็นอย่างยิ่ง

นายอนุชาติ ดีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ไทยแลนด์) จํากัด บริษัท
ผู้จัดการประมูลรถยนต์รายใหญ่ในประเทศให้ความเห็นถึงสถานการณ์ตลาดรถยนต์ EV จากนี้ไปคาดว่าในปี
2569 จํานวนรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) บนท้องถนนในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 30-40% โดยรถยนต์
สัญชาติจีนจะยังเป็นผู้นําตลาด รองลงไปจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า PHEV เพราะจากการเติบโตของรถยนต์ EV ที่
เพิ่มขึ้น ทําให้ผู้บริโภคให้ความมั่นใจในรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ BEV และ PHEV มากขึ้นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ในปี 2568 ภายในประเทศมีจํานวนประมาณ 116,000 คัน หรือ ประมาณ 6% ของรถจดทะเบียนและคาดว่าจะเพิ่มเป็นประมาณ 150,800 คัน ในปี 2569 รถยนต์ไฟฟ้า PHEV ในปี 2568 ในประเทศมีจํานวนประมาณ 16,500 คัน หรือประมาณ 1% ของรถจดทะเบียนและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 21,500 คัน ในปี 2569 การเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างรวดเร็ว และมีนัยส่วนหนึ่งเกิดจากการสนับสนุนของภาครัฐบาลและเกิดจากความต้องการของผู้บริโภค กอปรกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของผู้ผลิตในตลาดโลก อีกทั้งผู้บริโภคเองมีการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ BEV และแบบ PHEVเพราะเริ่มมั่นใจกับผลิตภัณฑ์ การประหยัดนํ้ามัน การลดค่าใช้จ่ายค่าพลังงานและผู้บริโภคอีกส่วนหนึ่งเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มขึ้นด้วยความมั่นใจกับการมีเครื่องยนต์เบนซินสํารองไว้ใช้จ่ายไฟเพื่อการชาร์จแบตเตอรี่
หากดูยอดสถิติการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศปี 2566 มีอัตราเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 684% โดยจดทะเบียนที่ 76,314 คัน เพิ่มจากปี 2565 ที่ 9,729 คัน สําหรับปี 2567 ยอดจดทะเบียน 70,173 คัน ลดลง 8.1% และในปี 2568 ยอดสะสม 10 เดือนแตะที่ 116,608 คันเติบโตประมาณ 42% จากปีก่อนการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดในประเทศที่รวดเร็ว ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอัตราเร่งตัวขึ้น การเข้ามามีบทบาทของภาครัฐ ตลอดจนเทคโนโลยีที่ผสมผสานของรถยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ตอบโจทย์ทั้งการตลาดและตอบโจทย์ผู้ใช้งานเหล่านี้ จะเป็นสัญญาณที่จะทําให้ตลาดรถยนต์เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการปล่อยก๊าช CO₂ การเกิดฝุ่น PM 2.5 จากรถยนต์สันดาป ล้วนแล้วจะเป็นปัจจัยต่อการเปลี่ยนแปลงให้ตลาดรถยนต์เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนแล้วแต่ปัจจัยใดจะเกิดก่อนหรือเกิดหลัง
นายอนุชาติ ยังให้ความเห็นว่าถึงแม้การเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะมาเร็วกว่าที่คาดการณ์แต่ด้วยปริมาณรถยนต์สันดาปโดยเฉพาะรถยนต์มือสองภายในประเทศ ที่ยังมีสัดส่วนที่สูงการเปลี่ยนแปลงที่จะได้รับผลกระทบต่อรถยนต์มือสองในระยะสั้น 3-5 ปี ยังไม่ได้รับผลกระทบมากหนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงเพื่อทดแทนแบบสมบูรณ์อาจจะยังไม่เกิดเร็วอย่างที่หลายคนกังวล ด้วยสภาพการใช้งานและความเข้าใจของผู้บริโภคบางส่วนยังไม่สามารถปรับตัวไปได้เร็วขนาดนั้น ทั้งเรื่องความพร้อมของการชาร์จแบตเตอรี่ที่ยังมีข้อจํากัด ลักษณะของบ้านพักอาศัยที่ยังไม่สร้างความสะดวกในการมีที่ชาร์จแบต ตลอดจนความไม่มั่นใจในตัวสินค้า และการบริการที่ยังมีปัญหาให้ผู้บริโภคยังลังเลในการตัดสินใจใช้รถ EV


