“สามมิตรโอโตพาร์ท”เจ้าตลาดแหนบรถยนต์ และอะไหล่ทดแทน ชี้แรงส่งจากการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) ดันธุรกิจรถขนส่งสินค้าติดลมบนส่งผลให้ตลาดมีความต้องการอะไหล่ทดแทนโดยเฉพาะแหนบเสริมเพื่อเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น ด้านไลน์การผลิต และจำหน่ายอุปกรณ์การเกษตรมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ด้วยปัจจัยบวกจากมาตรการภาครัฐเพื่อสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดด้วยจุดแข็งด้านการผลิต และจำหน่ายเองที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้เร็วกว่า พร้อมสยายปีกส่งสินค้าแหนบ และอุปกรณ์การเกษตรลุยเจาะตลาดใหม่ CLMV ต่อยอดตลาดส่งออกให้ครอบคลุมทั่วโลก ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโต 20% ภายใน 3 ปี
นางสาวมณีรัตน์ โพธิ์ศิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามมิตรโอโตพาร์ท จำกัด หรือ SMA กล่าวว่า สามมิตรโอโตพาร์ท เป็นผู้ผลิตแหนบรถยนต์รายแรกของประเทศไทย และได้รับการยอมรับในตลาดเป็นอย่างดีมาตลอดระยะเวลา 60 ปี โดยปัจจุบันมีการขยายการผลิต และจัดจำหน่ายสินค้าใน 3 กลุ่มหลัก คือ ผลิต และจำหน่ายแหนบรถยนต์ทุกประเภท ผลิต และจำหน่ายอุปกรณ์การเกษตร ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMA” และ “กระทิงคู่” ซึ่งคุณภาพเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และ กลุ่มสินค้าซื้อมา-ขายไป อาทิ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถบรรทุกและรถพ่วงของกลุ่มสามมิตร เป็นต้น
ด้านการผลิตและจำหน่ายแหนบรถยนต์ สามมิตรถือเป็นผู้นำตลาดมาอย่างยาวนาน โดยผลิต และจัดจำหน่ายแหนบรถทุกประเภท ทั้งรถปิคอัพ รถบรรทุก รถเทรลเลอร์ และรถหัวลาก มากกว่า 2,000 รุ่น มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 45% ของตลาดรวมซึ่งมีมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันความต้องการตลาดชิ้นส่วนทดแทนหรืออะไหล่ทดแทน (Replacement Equipment Market : REM) มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถ และจะยังคงสามารถเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต เนื่องจากปริมาณการใช้รถเพื่อการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการเพิ่มจำนวนของธุรกิจรถขนส่งสินค้าทางบก และธุรกิจรับส่งสินค้า ที่มีการขยายตัวอย่างมาก จากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) ส่งผลให้อะไหล่ทดแทน โดยเฉพาะแหนบรถยนต์ประเภทเสริมเพื่อเพิ่มน้ำหนักบรรทุกของสามมิตร โอโตพาร์ทมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับอุปกรณ์การเกษตร SMA ผลิตและจำหน่ายสินค้าครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมดินไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ได้แก่ จานไถ ใบมีดโรตารี่ และใบดันดิน ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาด 37% ของตลาดรวมที่มีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะเดินหน้าทำการตลาดเพิ่ม โดยชูจุดแข็งของการเป็นทั้งผู้ผลิต และจัดจำหน่ายเอง จึงสามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลายและรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรถือเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิต ที่มีอัตราเติบโตต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากนโยบายของภาครัฐในการมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตร โดยสนับสนุนการเกษตรสมัยใหม่ ใช้เครื่องมือที่ทันสมัย สามารถทำได้ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมถึงจากการที่เมื่อเร็วๆ นี้ภาครัฐได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง และอนุมัติโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นถือเป็นปัจจัยบวกในการสนับสนุนให้ตลาดอุปกรณ์การเกษตรเติบโต
“สินค้าของ SMA เป็นสินค้าที่เป็น after market เปลี่ยนตามระยะการใช้งาน หรือเปลี่ยนเพื่อซ่อม หรือเมื่อชำรุดซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้ไปเพื่อก่อให้เกิดรายได้ เช่น เปลี่ยนจานไถ หรือใบมีด เพื่อใช้ในการเตรียมดินพรวนดิน ในการเพาะปลูก การที่ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนต้นทุนการผลิต เพื่อให้มีการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมีเงินไหลเวียน จะทำให้ผู้บริโภคกล้าที่จะตัดสินใจซื้อมากขึ้น” นางสาวมณีรัตน์ กล่าว
สำหรับกลุ่มสินค้าซื้อมา-ขายไป นั้น จะเป็นการจัดจำหน่ายชิ้นส่วน และอะไหล่รถบรรทุกและรถพ่วงของกลุ่มสามมิตร เป็นต้น โดยใช้ช่องทางการจำหน่ายเดียวกับสินค้าประเภทอื่นๆ ซึ่งมีช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศมากกว่า 1,000 ร้านค้า และส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาใต้
ปัจจุบันบริษัท มีสัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศ 85% และอีก 15% มาจากการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยได้วางแผนกลยุทธ์เพื่อการขยายตลาดให้เติบโตมากขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ขยายตลาดสินค้าแหนบและอุปกรณ์การเกษตรไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ซื้อมา-ขายไปให้มากขึ้น โดยเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ และการสร้างการเติบโตในช่องทางการจัดจำหน่ายเดิม ทำการส่งเสริมการขายร่วมกับสินค้าหลักของบริษัท และตั้งเป้ามีรายได้เพิ่มขึ้นจากสินค้ากลุ่มนี้เป็น 20% ของรายได้ในประเทศ ซึ่งคาดว่าจากกลยุทธ์และแผนการตลาดดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 10% ภายในปีนี้ และเติบโตเพิ่มขึ้น 20% ภายใน 3 ปี จากรายได้ต่างประเทศและจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ซื้อมา-ขายไปเป็นหลัก
“จากประสบการณ์ของกลุ่มสามมิตร ตลอดระยะเวลา 60 ปี ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และโลจิสติกส์เรามีการพัฒนาในทุกๆ ด้านตั้งแต่การออกแบบ การพัฒนากระบวนการผลิตและการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้า ซึ่งขณะนี้บริษัท มีกำลังการผลิตมากกว่า 12,000 ตันต่อปี จากจุดแข็งด้านการผลิต รวมถึงศักยภาพของกลุ่มสามมิตรที่ลูกค้าเชื่อมั่นมาโดยตลอด จะเป็นโอกาสให้สามมิตรโอโตพาร์ทเติบโตได้ตามเป้าหมาย”นางสาวมณีรัตน์ กล่าว
##########